ขีดจำกัดความเร็ว (Speed limit)...
ในระดับสากล ขีดจำกัดความเร็ว( Speed limit) เป็นสิ่งสำคัญสิ่งแรกสำหรับมาตรการเพื่อให้ผู้ขับขี่ใช้ความเร็วในการขับขี่อย่างปลอดภัย
โดยขีดจำกัดความเร็ว จะถูกตั้งขึ้นเพื่อควบคุมความเร็วของยานพาหนะ ให้เหมาะสมกับประเภทของถนนและประเภทของยานพาหนะ
จำกัดความเร็วเพื่ออะไร
ถนนสร้างมาให้รถวิ่งเร็วมิใช่หรือ...?
คนทั่วไปมักเข้าใจว่าถนนสร้างมาเพียงเพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วในการเดินทางเท่านั้น
แท้จริงแล้ว ถนนมีหลายประเภท และถูกสร้างมาให้ทำหน้าที่สองประการ
- หนึ่ง คือ การให้ความสามารถในการเคลื่อนที่
- สอง คือ การให้ความสามารถในการเข้าออกพื้นที่ข้างทาง
ถนนแต่ละประเภทควรให้บริการตามหน้าที่หลักของตนอย่างเหมาะสม
โดย
ถนนสายหลักควรให้ความสำคัญกับความสามารถในการเคลื่อนที่
ให้รถที่เดินทางไกลสามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย
ดังนั้นจะต้องมีการจำกัดตำแหน่งเชื่อมต่อและเข้าออกพื้นที่ข้างทาง
เพื่อลดการตัดกระแสจราจร นั่นคือ
ไม่สามารถเน้นความสามารถในการเข้าถึงพื้นที่ข้างทางกับถนนสายนี้ได้
ในขณะที่ถนนสายท้องถิ่นซึ่งเป็นถนนสายย่อย
สายสั้นๆ ในเขตที่พักอาศัย ควรทำหน้าที่ให้บริการการเข้าออกพื้นที่
ในขณะที่ยังคงรักษาความปลอดภัย และความรื่นรมย์ของบริเวณที่พักอาศัย ดังนั้น
เราไม่ต้องการให้รถ ใช้ถนนสายท้องถิ่นด้วยความเร็วสูง นั่นคือ
ไม่สามารถเน้นความสามารถในการเคลื่อนที่กับถนนสายนี้ได้
เปรียบเทียบง่ายๆ
ถ้าเราใช้ถนนผิดหน้าที่ผิดประเภท เช่น
ให้ถนนสายหลักซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดแดงใหญ่
ที่พาเลือดจากหัวใจไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญของร่างกาย มีแรงดันเลือดต่ำๆ(ความเร็วต่ำ)
แถมยังมีรูรั่วออกตามสองข้างทาง(ขาดการควบคุมการเชื่อมต่อพื้นที่ข้างทาง)
เราคงไม่มีเลือดเพียงพอไปเลี้ยงสมองได้
ในทางกลับกัน หากเราปล่อยให้ถนนสายท้องถิ่น
รถวิ่งผ่านได้ด้วยความเร็วสูงๆ ก็เปรียบ เสมือนเรายอมให้เส้นเลือดฝอยของเรามีแรงดันเลือดสูงๆ
ซึ่งเส้นเลือดเล็กๆนั้นคงมีโอกาสแตก ทำให้ร่างกายเราเจ็บป่วยได้
“เราคงไม่อยากให้ถนนหน้าบ้านในย่านที่พักอาศัย
อยู่ในสภาพของเส้นเลือดฝอยในสมองที่รอวันแตก”
ในพื้นที่ หนึ่งๆ การจะให้ถนน
สามารถทำหน้าที่ของมันได้ทั้งสองอย่าง
คือสามารถให้ความสามารถในการเคลื่อนที่และความสามารถในการเข้าออกพื้นที่ข้างทาง
ต้องใช้ถนนหลายๆประเภท
ประกอบกันเป็นโครงข่ายถนนที่สมบูรณ์
เพื่อให้ถนนแต่ละสายสามารถให้บริการตามหน้าที่ที่เหมาะสม
ดังนั้น
ไม่จำเป็นต้องให้รถวิ่งได้เร็วบนถนนทุกสาย
การเลือกใช้ความเร็วให้เหมาะสมกับประเภทและหน้าที่ของถนนเป็นสิ่งสำคัญและเป็นความจำเป็นอย่างเร่งด่วน
หากต้องการลดการตายบนถนน
ขีดจำกัดความเร็วในต่างประเทศ
GRSP(2008) [1] รวบรวมค่าเฉลี่ยความเร็วที่ใช้ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนา
ดังนี้
ขีดจำกัดความเร็วเฉลี่ยในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (GRSP 2008)
ประเภทถนน
|
ขีดจำกัดความเร็ว
|
ถนนในเขตเมือง
|
30-50 กม./ชม.
|
ทางหลวงสายหลัก หรือ ทางในชนบท
|
70-100 กม./ชม.
|
มอเตอร์เวย์
|
90-130 กม./ชม.
|
ขีดจำกัดความเร็วในประเทศกำลังพัฒนา (GRSP 2008)
นอกเขตเมือง
|
เขตเมือง
|
|
อาร์เจนตินา
|
80-100
|
40-60
|
รัฐเกรละ (Kerala), อินเดีย
|
70
|
40
|
รัฐอุตตร(Uttar Pradesh), อินเดีย
|
ไม่กำหนด
|
ไม่กำหนด
|
กานา
|
90
|
50
|
อินโดนีเซีย
|
80-100
|
40-60
|
มาเลเซีย
|
90
|
50
|
เนปาล
|
ไม่กำหนด
|
ไม่กำหนด
|
เวียดนาม
|
40-60
|
30-40
|
ยูกันดา
|
100
|
65
|
หากเมื่อย้อนมองกฎหมายการควบคุมความเร็ว[2]ในบ้านเรา
กลับพบว่า กฎหมายไทยกำหนดขีดจำกัดความเร็วในเขตเมืองที่ 80 กม./ชม.
ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับขีดจำกัดความเร็วของประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ
ซึ่งมักกำหนดขีดจำกัดความเร็วในเขตเมืองเพียงแค่ 30-50 กม./ชม.
จึงไม่น่าแปลกใจที่ตัวเลขการตายในเขตบนถนนในเขตเมืองจะสูงถึง
85 เปอร์เซ็นต์ของการตายทั้งหมดเลยทีเดียว
การเตือน
มาตรการการเตือนผู้ขับขี่จากบริเวณเสี่ยงอันตราย
หรือบริเวณที่มีการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมในการขับขี่ ถูกใช้อย่างแพร่หลายมานานหลายสิบปี
โดยทั่วไป มาตรการการเตือน เช่น ป้ายเตือน การทาสีบริเวณอันตรายการติดตั้งหลักนำทาง
หรือเครื่องหมายนำทางบนพื้นทาง เครื่องหมายจราจรบนพื้นทาง
ปัจจุบัน
มีการเสริมประสิทธิภาพในการทำงานของอุปกรณ์การเตือนแบบเก่า ด้วย อุปกรณ์การเตือนแบบที่ “แอคทิฟ”มากขึ้น เช่น ป้ายที่มีไฟกระพริบ ป้ายที่แสดงข้อความเมื่อมีรถผ่าน
สัญญาณไฟกระพริบ
ไฟเตือนหรือสัญลักษณ์เตือนที่จะสว่างขึ้นเมื่อรถที่วิ่งเข้ามาขับเร็วเกินกำหนด
ป้ายเตือน... เตือนผู้ขับขี่
ให้ลดความเร็วเมื่อเข้าสู่ชุมชนข้างหน้า การเตือนด้วยป้าย สำคัญที่การบำรุงรักษา ให้สามารถใช้งานได้เสมอทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน
เครื่องหมายจราจรบนพื้นทาง...
อาจเป็นการขีดสีตีเส้น
หรือลักษณะนูนขึ้นมาเป็นปุ่มเหมือนในภาพ เพื่อเตือนผู้ขับขี่ก่อนถึงทางแยก
การเน้นวัตถุอันตราย...เพื่อเน้นวัตถุอันตรายข้างทางให้สามารถเห็นได้อย่างเด่นชัด
เช่น การติดตั้งบั้งสะท้อนแสงบริเวณต้นไม้ข้างทาง การเน้นต้นไม้ข้างทาง
การนำทางบริเวณโค้งหักศอก...เช่นการใช้ปุ่มสะท้อนแสง
หลักนำโค้ง หรือเครื่องหมายเชฟรอนนำโค้ง
เพื่อสื่อสารลักษณะความโค้งของโค้งข้างหน้าให้ผู้ขับขี่สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน
ทั้งในเวลากลางวันและในเวลากลางคืน
การเตือนด้วยเสียงและแรงสั่นสะเทือน….เตือนผู้ขับขี่ถึงสภาพอันตรายข้างหน้าหรือ
เตือนให้ทราบถีงสภาพถนนที่เปลี่ยนไปด้วย แรงสั่น สะเทือนและเสียง
ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อรถเคลื่อนที่ผ่านบริเวณพื้นที่ที่จงใจทำให้ไม่เรียบ
เทคนิคดังกล่าว สามารถใช้เตือนผู้ขับขี่ในบริเวณทางเข้า( Gateways) เช่น
บริเวณก่อนเข้าหมู่บ้าน (Village Gateway) หรือบริเวณก่อนเข้าทางแยก(intersection approach) เทคนิคการทำผิวให้ไม่เรียบ สามารถขุดถนนเป็นร่องเล็กๆ
(Grooves cut) หรือ ทำเป็นแถบนูนยาวๆ (raised strips)
ในแนวขวางทิศทางการเดินรถ ตลอดแนวความกว้างของถนน และทาสีให้สามารถเห็นได้ชัดเจน
Passive
Perceptual Countermeasures… เป็นมาตรการลดความเร็วที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มการสื่อสารกับผู้ขับขี่ถึงความเร็วที่ควรจะใช้
เพื่อให้ผู้ขับขี่ ลดความเร็วลง หรือใช้ความเร็วที่เหมาะสม เทคนิคที่ใช้เช่น
การเพิ่มสิ่งเร้าสายตาใกล้ขอบถนน
หรือเพิ่มความถี่ของเส้นขวางถนนซึ่งจะทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกว่าขับเร็วกว่าความเร็วที่แท้จริง
เป็นต้น
- การตีเส้น Speed bars ทำให้ทางข้างหน้าดูเหมือนแคบลง ขณะเดียวกัน จะทำให้คนขับเกิดความรู้สึกว่าขับเร็วกว่าความเร็วที่ใช้อยู่จริง เมี่อวิ่งผ่านเส้น speed bars
- การเพิ่มสิ่งเร้าตาข้างถนนในประเทศจีน-ทำให้มองดูเหมือนมีสิ่งกีดขวางข้างทาง
- การทาสีเตือนบริเวณอันตราย-สร้างความรู้สึกถึงบริเวณอันตรายด้วยการทาสีบนถนน
ปากทางเข้า
หมายถึง
การจัดบริเวณทางเข้าเพื่อลดความเร็วของกระแสจราจรในบริเวณทางเข้าเมืองหรือชุมชน
การจัดบริเวณทางเข้าดังกล่าว
อาจเป็นเพียงการปักป้ายหรือทาสีถนนบริเวณทางเข้า (Visual treatments) หรือการจัดบริเวณทางเข้าในลักษณะการสร้างสิ่งกีดขวางบนถนน
(Physical restrictions) หรือในลักษณะผสม ตัวอย่างการให้สัญลักษณ์บริเวณปากทางเข้าหมู่บ้านในประเทศอังกฤษ[3]
ซึ่งมีการติดป้ายขีดจำกัดความเร็ว จัดทำเกาะกลาง และมีการวางแนวคันหินให้ถนนแคบลง
ตัวอย่าง
การจัดทำปากทางเข้าชุมชนในประเทศอังกฤษ[4]โดยมีการติดตั้งป้ายขีดจำกัดความเร็ว ด้วยการทาสีลักษณะฟันปลาฉลามบนถนน
เพื่อให้ดูเหมือนทางแคบลง
เนินชะลอความเร็ว
ชนิดของเนินชะลอความเร็ว
หนึ่งในมาตรการการสยบ/ยับยั้ง
การจราจรที่นิยมใช้อย่างแพร่หลาย ใช้ในถนนสายท้องถิ่น (ปริมาณจราจรน้อยกว่า 500
คันต่อวัน) เป็นพื้นที่ผิวจราจรที่ยกสูงขึ้นโดยใช้ติดตั้งขวางทิศทางการจราจร
ซึ่งจะแตกต่างกันอย่างชัดเจนจากลูกระนาดชะลอความเร็วหรือลูกเนินกระโดด (Speed Bump) ที่มีความยาวสั้น ๆ โดยมากพบเนิน
3 ชนิด คือ
เนินหลังกลม[5]
·
หลังเนินอาจมีรูปร่างต่างกันออกไป
เช่น รูปโค้งพาราโบล่า โค้งวงกลม โค้งรูปซายน์
- · ความยาวของเนินมาตรฐาน 3.7 เมตร สูง 75 mm-100 mm
- · สำหรับเนินสูง 75mm ความเร็วเฉลี่ย 24 km/hr และความเร็วที่ 85 เปอร์เซ็นไทล์ 31 km/hr
- · สำหรับเนินสูง 100 mm ความเร็วเฉลี่ย 22 km/hr
ขนาดมาตรฐานของเนินหลังกลมแบบวัตต์
เนินหลังแบน
- ผิวบนของเนินแบนราบ นอกจากชะลอความเร็วของรถแล้ว ยังสามารถใช้เป็นทางข้าม
- ความเร็วเฉลี่ยของรถยนต์เมื่อผ่านเนินหลังแบนมีค่าประมาณ 22 km/hr สำหรับเนิน สูง 7.5 ซม.
- สำหรับเนินสูง 7.5 ซม. ควรมีความชัน 1:5 หรือมากกว่า เพื่อควบคุมความเร็วเฉลี่ยให้ต่ำกว่า 26 km/hr
- ความกว้างของหลังเนิน ไม่มีผลต่อความเร็วเท่าไรนัก แต่จะมีผลต่อความปลอดภัยและความสะดวกสบายของคนเดินข้ามถนน
Speed cushions[7]
คือเนินชะลอความเร็วที่ไม่คลอบคลุมตลอดความกว้างของช่องจราจร ดังนั้น รถขนาดใหญ่สามารถ
“หากเอามาใช้ในบ้านเรา
ช่องว่างระหว่างเนินคงถูกใช้เป็นเส้นทางหลบหลีกของรถจักรยานยนต์”
[1] GRSP(2008)
Speed management: A road safety manual for decision-makers and practitioners
[2] พระราชบัญญัติจราจรทางบก ฉบับ 8 พ.ศ. 2551 กำหนด ไม่เกิน 80 กม./ชม. ในเขตกทม. เขตเมืองพัทยา หรือเขตเทศบาล
[4] http://www.great-bradley.suffolk.gov.uk/gateway
[5] Traffic Advisory Unit 1996, 75 mm high road humps, Traffic advisory leaflet 7/95, Department of Transport, London, UK.
[7] Traffic Advisory Unit 1998, Speed cushion schemes, Traffic advisory leaflet 1/98, Department of Transport, London, UK.
เรียบเรียงจากงานวิจัย
โครงการ : การศึกษาและพัฒนาชุดความรู้ด้านวิศวกรรมจราจรเพื่อความปลอดภัยทางถนนในชุมชนชนบท
ระยะที่ 1
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น