ความเร็ว กับ อุบัติเหตุ...

เพิ่มความเร็ว เพิ่มระยะหยุด....


การหยุดรถจะใช้ระยะทางมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับว่า รถวิ่งมาด้วยความเร็วเท่าใดและผู้ขับขี่สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ (the reaction time) ได้ไวเพียงใด !!!




เมื่อคุณขับเร็วขึ้นสองเท่า คุณต้องการระยะทางในการหยุดรถเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า



ระยะเวลาเฉลี่ยในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ (ตั้งแต่รับรู้เหตุการณ์จนกระทั่งยกขาแตะที่เบรก)  มีค่าประมาณ สอง วินาที

เช่น : เมื่อขับขี่มาด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีความจำเป็นต้องเบรกกะทันหัน
ก่อนที่คนขับจะทันได้แตะเบรก จะยังคงวิ่งต่อไปอีก 34 เมตร(ในช่วงเวลาที่คนขับคิดตอบสนองต่อเหตุการณ์) และใช้ระยะทางอีก 21 เมตรในการห้ามล้อ ก่อนที่รถจะหยุด รวมระยะทางที่ใช้ในการหยุดรถทั้งสิ้น 55 เมตร หรือถ้าขับขี่มาด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ต้องใช้ระยะทางทั้งหมดอย่างน้อย 116 เมตรก่อนที่รถจะหยุดนิ่ง

หมายเหตุ: รถจักรยานยนต์และรถบรรทุกต้องการระยะหยุดมากกว่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคล

เร็วกว่ากันเพียง 10 ก.ม./ช.ม.


จากภาพสถานการณ์ตัวอย่าง
ขณะที่รถสีเขียวและรถสีเหลืองอยู่ห่างทางแยกในระยะ 60 เมตร
โดยที่รถสีเหลืองวิ่งเร็วกว่ารถสีเขียวเพียง 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 

ทันใดนั้น มีรถบรรทุกสีฟ้าผ่านทางแยกกะทันหัน

  •        รถสีเขียวไม่ชน หยุดได้ทันพอดี
  •        รถสีเหลือง จะชนรถบรรทุกด้วยความเร็ว 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง



ชนที่ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงรุนแรงแค่ไหน

ร่างกายเราทนได้เพียง

การตายและการบาดเจ็บรุนแรงจากอุบัติเหตุ เกิดเนื่องจากการที่ร่างกายรับแรงจากการปะทะเกินกว่าขีดจำกัดที่ร่างกายมนุษย์จะรับได้
ขีดจำกัดดังกล่าว[1] เช่น
ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถทนต่อการบาดเจ็บ หากถูกชนด้วยความเร็วที่มากกว่า 30 กม./ชม.
การนั่งรัดเข็มขัดนิรภัยภายในรถสมัยใหม่ที่มีระบบความปลอดภัยเพียงพอ มักจะสามารถปกป้องชีวิตคนขับและผู้โดยสารได้ในกรณีที่
1. ขับรถยนต์ชนเสาหรือต้นไม้ที่ความเร็วต่ำกว่า 40 กม./ชม.
2. ถูกรถขนาดเดียวกันชนด้านข้างที่ความเร็วต่ำกว่า 50 กม./ชม.
3. ชนประสานงากับรถขนาดเดียวกันที่ความเร็วต่ำกว่า 70 กม./ชม.

"เลือกความเร็วที่ใช้ = เลือกความเร็วที่ชน"


เพิ่มความเร็ว...เพิ่มแรงปะทะขณะชน


              
    เมื่อเกิดการชน ผู้ใช้ถนนกลุ่มเสี่ยง เช่น คนเดินเท้า คนขี่จักรยาน และจักรยานยนต์ เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงมากต่อการบาดเจ็บล้มตาย โดยโอกาสรอดชีวิตจะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อความเร็วขณะชนเพิ่มขึ้น

จากภาพ เห็นได้ว่า คนเดินเท้าที่ถูกชน
  •        ที่ความเร็ว 30 กม./ชม.ส่วนมาก (9 ใน 10 คน) จะรอดชีวิต
  •        ที่ความเร็ว 50 กม./ชม. น้อยคนนัก(1 ใน 10 คน) จะมีโอกาสรอดชีวิต
  •        ที่ความเร็ว 60 กม./ชม.ขึ้นไป แทบจะไม่มีโอกาสรอบชีวิต
 "โอกาสที่คนเดินเท้าจะเสียชีวิตเมื่อถูกรถชนจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เมื่อความเร็วขณะชนเพิ่มขึ้น"


 ถนนในชุมชน โปรดลดความเร็ว...

ถ้ามีเด็กวิ่งตัดหน้ารถ ในระยะ 13 เมตร


ลองดูผลของอุบัติเหตุที่จะเกิดกับคนขับ 3 คน ใน 3 สถานการณ์ โดยที่กราฟแสดงระยะหยุดรถในรูปนี้ สมมติให้คนขับคิดและตัดสินใจภายใน 1 วินาที

คนขับคนที่ 1 ขับรถด้วยความเร็ว 30 กม./ชม.

รถคันนี้จะสามารถหยุดรถได้ทันพอดีก่อนที่จะชนเด็ก



คนขับคนที่  2 ขับรถมาด้วยความเร็ว 50 กม./ชม.
ลองมาดูภาพช้าในสถานการณ์นี้ ในช่วงเวลาที่คนขับใช้ในการสังเกตเห็นเด็กและตัดสินใจกระแทกเบรก  จะพบว่ารถจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอีก 14 เมตร ด้วยความเร็ว 50 กม./ชม.
นั่นหมายความว่า รถคันนี้ไม่ทันได้เริ่มลดความเร็ว และเด็กจะถูกชนด้วยความเร็วที่ 50 กม./ชม. ซึ่งโอกาสรอดชีวิตมีน้อยมาก

คนขับคนที่ 3 ขับรถมาด้วยความเร็ว มากกว่า 60 กม./ชม.
รถคันนี้หยุดไม่ทันแน่ๆ และเด็กคนนี้คงไม่มีโอกาสรอดชีวิต

"ท่านมีทางเลือก และเลือกได้ ว่าจะเป็นคนขับรถคนไหน"



การเลือกใช้ความเร็วอย่างปลอดภัย...

หลักการคือ เลือกใช้ความเร็วที่จะสามารถหยุดได้ทัน



ในระยะที่มองเห็นได้ชัดเจน คุณควร
เว้นระยะห่างจากคันหน้าให้เพียงพอ  กฎความปลอดภัยคือ อย่าอยู่ใกล้คันหน้ากว่าระยะหยุดปลอดภัยของเรา[2] โดย


  •       เว้นระยะเวลาห่างจากคันหน้า อย่างน้อย 2 วินาทีในสภาพปกติ อย่างน้อย 4 วินาทีบนถนนเปียก
  •       หากขับรถขนาดใหญ่ในอุโมงค์ ควรเว้นระยะเวลาห่างจากคันหน้าอย่างน้อย 4 วินาที
  •        หากจำเป็นต้องหยุดในอุโมงค์ จอดห่างจากคันหน้าอย่างน้อย 5 เมตร



ในเวลากลางคืน คุณควร !!!
สามารถหยุดรถได้ในระยะที่ไฟหน้ารถส่องถึง
เส้นสีดำ แสดงระยะที่ไฟหน้ารถส่องถึง ซึงคือระยะที่คนขับสามารถมองเห็นถนนด้านหน้าได้
เส้นสีแดง คือระยะหยุดรถที่สัมพันธ์กับความเร็วที่ขับขี่รถคันนี้วิ่งเร็วเกินไป ขับให้ช้าลง 


ในเวลาทัศนะวิสัยไม่ดี คุณควร
เว้นระยะห่างจากคันหน้าให้เพียงพอ  กฎความปลอดภัยคือ อย่าอยู่ใกล้คันหน้ากว่าความเร็วปลอดภัยของเรา เช่น 
  •        หมอกลงหนัก มองเห็นข้างหน้าไม่เกิน 55 เมตร ถ้าจะให้สามารถหยุดรถได้ทันเมื่อมีเหตุฉุกเฉินข้างหน้า 
o   คุณควรขับช้ากว่า 60 กม./ชม. ถ้าคิดว่าสามารถรับรู้เหตุการณ์ข้างหน้าและตอบสนองได้ภายใน 2 วินาที
o   คุณควรขับช้ากว่า 80 กม./ชม. ถ้าคิดว่าสามารถเห็นเหตุการณ์และตอบสนองได้ภายใน 1 วินาที

หมายเหตุ : จำไว้ว่า รถขนาดใหญ่ และรถจักรยานยนต์ต้องการระยะหยุดมากกว่ารถยนต์ 

ลดความเร็ว ลดอุบัติเหตุ...
จากข้อเท็จจริงข้างต้นทั้งหมด สรุปได้ว่า ความเร็ว ส่งผลต่อ

  •         โอกาสในการเกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากที่ความเร็วสูงๆ คนขับจะควบคุมรถ หยุดรถ และหลบหลีกอุบัติเหตุได้ยากขึ้น
  •        ความรุนแรงในการบาดเจ็บ เนื่องจากการชนที่ความเร็วสูงๆ แรงปะทะที่เกิดขึ้นจะยิ่งมากขึ้น

ดังนั้น หากลดความเร็วลง ผู้ขับขี่จะ
1.       มีเวลามากขึ้นในการรับรู้เหตุการณ์และหลีกเลี่ยงการชน
2.       ใช้ระยะทางในการเบรกรถน้อยลง
3.       ลดโอกาสที่จะเกิดการเสียการควบคุมรถ
4.       รับแรงกระแทกน้อยลง และบาดเจ็บน้อยลง หากเกิดการชน

" เลือกใช้ความเร็วให้เหมาะสม เพื่อความปลอดภัยบนถนนของทุกคน "

ผลการศึกษาวิจัยพบว่า

การลดลงเพียงเล็กน้อยของความเร็วที่ใช้เดินทางจะส่งผลอย่างมาก...)
(...ต่อความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ )


ทั่วโลก มีการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วและการเกิดอุบัติเหตุโดยวิธีการต่างๆ เช่น

1. การศึกษาผลกระทบก่อนและหลัง การเปลี่ยนขีดจำกัดความเร็ว (Speed limit)
2. การศึกษาความสัมพันธ์ของอัตราการเกิดอุบัติเหตุกับความเร็ว บนถนนที่มีลักษณะเดียวกัน แต่มีการใช้ความเร็วแตกต่างกัน
3. การวิเคราะห์การเกิดอุบัติเหตุในเชิงลึกและการฟื้นฟูสภาพการเกิดอุบัติเหตุ(ทำให้สามารถคำนวณความเร็วของรถขณะที่ชนเพื่อเปรียบเทียบกับความเร็วของรถที่ใช้ถนนในบริเวณเดียวกัน)

ในปี 2004 คณะนักวิจัยชาวสวีเดน[3] ได้ทำการศึกษาผลของงานวิจัย 98 เรื่อง ที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วและอัตราการบาดเจ็บล้มตายระหว่างปี ค.ศ.1966 -2004 โดยงานวิจัยเหล่านี้ศึกษาความเร็วในช่วง 25-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ครอบคลุมพื้นที่ทั้งในเขตเมืองและเขตชนบทใน 20 ประเทศ ผลวิเคราะห์ผลงานวิจัย 98 เรื่องนี้พบว่า

สำหรับการเปลี่ยนแปลงความเร็วเพียงเล็กน้อย เปอร์เซ็นต์การตายที่เปลี่ยนไป มีค่าประมาณ สี่เท่า ของเปอร์เซ็นต์ความเร็วที่เปลี่ยนไป” 



เช่น ความเร็วเพิ่มหรือลด 1 เปอร์เซ็นต์ อัตราการตายจะเพิ่ม 5 เปอร์เซ็นต์ หรือลด 4 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
      ความเร็วเพิ่มหรือลด 10 เปอร์เซ็นต์ อัตราการตายจะเพิ่ม 54 เปอร์เซ็นต์ หรือลด 38 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ





หมายเหตุ : จากตัวเลขข้างต้น ถ้าเพียงเราลดความเร็วได้ 10 เปอร์เซ็นต์ เป้าหมายอัตราการตายลงครึ่งหนึ่ง ในบ้านเราอาจสามารถเป็นจริงได้




[1] Austroads (2010) Safe Intersection Approach Treatments and Safer Speeds through Intersections: Final Report, Phase 1.
[2] http://www.direct.gov.uk/en/TravelAndTransport/Highwaycode/DG_070304
[3] Elvic et al.2004 อ้างใน Austroad(2008) Guide to road safety part 3  Speed limits and Speed management.



เรียบเรียงจากงานวิจัย
โครงการ : การศึกษาและพัฒนาชุดความรู้ด้านวิศวกรรมจราจรเพื่อความปลอดภัยทางถนนในชุมชนชนบท ระยะที่ 1 








4 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ14 สิงหาคม 2556 เวลา 19:59

    มีประโยชน์มากครับ

    ตอบลบ
  2. ขออนุญาตแชร์ความรู้ที่เป็นประโยชน์นี้ในเพจตำรวจทางหลวงอุดรธานีนะครับ

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ2 มีนาคม 2558 เวลา 00:39

    ขอบคุณสำหรับความรู้นะครับ

    ตอบลบ